ใน การสร้างห้องเย็น (𝗖𝗼𝗹𝗱 𝗥𝗼𝗼𝗺, 𝗖𝗼𝗹𝗱 𝗦𝘁𝗼𝗿𝗮𝗴𝗲) ในอุตสาหกรรมต่างๆ จะต้องมีการกำหนดระบบทำความเย็นของห้องเย็นให้เหมาะสมกับการใช้งาน และปัจจัยอื่นๆ ซึ่งระบบทำความเย็นมีด้วยกันหลายแบบ
ระบบทำความเย็นและระบบแช่แข็งในอุตสาหกรรมมีแบบใดบ้าง ?
หากเราจำแนกการทําความเย็นตามลักษณะการใช้งานได้ดังนี้
● ห้องเย็น (Cold Room) :
เป็นที่นิยมใช้มากที่สุด โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหาร เป็นห้องที่ได้รับการควบคุมอุณหภูมิ และความชื้นที่เหมาะสมกับสินค้าที่จัดเก็บ ห้องเย็นมีประโยชน์ในการช่วยชะลอการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์และแบคทีเรีย ปัจจัยสำคัญที่สร้างความเสียหายให้กับสินค้าของคุณ และสามารถแบ่งตามประเภทการใช้งานจากอุณหภูมิแยกย่อยไปอีกหลากหลายแบบ
● ห้องแช่แข็ง (Freezer Room) :
ใช้ในการลดอุณหภูมิสินค้าในระยะเวลาอันสั้น มีประโยชน์ในการถนอมอาหาร
ในการสร้างอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานของห้องเย็น มีอยู่หลายวิธี ขึ้นกับสารทำความเย็นที่ใช้ ไม่ว่าจะเป็นสารทำความเย็นทั่วไป หรือ แอมโมเนีย ฯลฯ และสามารถแยกได้ตามรูปแบบของคอยล์เย็น หรือ Evaporator ดังนี้

• แบบขยายโดยตรง (Direct Expansion) :
เป็นระบบซึ่งสารทำความเย็นจะไหลจากคอยล์ร้อน หรือ Condensor เข้าสู่ถังพักสารทำความเย็น และไหลผ่านวาล์วลดความดัน (Expansion Valve) เข้าสู่คอยล์เย็นโดยตรง ระบบขยายโดยตรง เหมาะสำหรับห้องเย็นที่มีค่าการทำความเย็นที่ไม่มากนัก หรือห้องเย็นทั่วไปในท้องตลอด
• แบบท่วมคอยล์ (Flooded Coil) :
เป็นระบบสารทำความเย็นที่ส่งจากคอยล์ร้อนเข้าสู่ถังพักสารทำความเย็นความดันสูง ไหลผ่านวาล์วลดความดันไปสู่่ถังเก็บวารทำความเย็นความดันต่ำก่อน จากนั้นจะไหลเข้าคอยล์เย็น โดยอาศัยของเหลวที่ไหลไปแทนที่ก๊าซ คอยล์เย็นสำหรับระบบนี้จะต้องมีปริมาตรของท่อซึ่งบรรจุสารทำความเย็นมากกว่าระบบขยายตรง เพราะจะต้องมีพื้นที่สำหรับให้ก๊าซของสารทำความเย็นแยกตัวออกและลอยตัวขึ้น
• แบบปั๊มหมุนเวียน (Pump Recirculation) :
เป็นระบบที่มีความคล้ายคลึงกับระบบท่วมคอยล์ แต่แตกต่างกันที่สารทำความเย็นจากถังความดันต่ำจะถูกปั๊มสู่คอยล์เย็น ทำให้การทำความเย็นมีประสิทธิภาพมากขึ้น กว่าระบบท่วมคอยล์ อัตราการไหลของสารทำความเย็นผ่านคอยล์เย็นจะอยู่ในช่วง 3-5 เท่าของปริมาตรการกลายเป็นไอ โดยคำนวนจากปริมาณความเย็นที่ต้องการ
3 ระบบที่กล่าวมา สามารถนำมาใช้เพื่อทำความเย็นแก่สินค้า และวัตถุดิบ โดยมีกระบวนการที่นิยมกันมากที่สุดในปัจจุบัน ดังนี้
1. การทำความเย็น Contact Freezer
โดยสินค้าจะทำการแช่แข็งบนชั้นวาง ซึ่งทุกๆ ชั้นสามารถทำหน้าที่เป็นคอยล์เย็น เมื่อวางจนเต็มแล้ว ระบบไฮโดรลิกจะทำการกดแผ่นโลหะด้านบนมาสัมผัสวัตถุดิบ เพื่อให้ความเย็นทั้ง 2 ด้าน แต่มีข้อจำกัดของรูปทรงสินค้า ต้องมีขนาดและรูปร่างสม่ำเสมอ โดยนิยมทำเป็นรูปทรงตู้เย็นมากกว่าห้องเย็น ใช้หลักการการนำความร้อนโดยตรง เหมาะกับวัตถุดิบที่มีลักษณะเปียก ราคาไม่สูง และมีความหนาไม่มาก อัตราการผลิตปานกลาง รวมถึงผลิตภัณฑ์อาหารทะเลต่างๆ
2. การทำความเย็น Air Blast Freezer
กรรมวิธีลดอุณหภูมิโดยการนำสินค้าเข้าไปในห้องที่มีลมเย็นพัดผ่านสินค้า โดยนำสินค้าบรรจุจนเต็มห้อง และถูกทำให้เย็นในครั้งเดียว มีข้อกำหนดการออกแบบหลายอย่างเช่น ความเร็วลม ค่าสัมประสิทธิ์ความร้อนที่ผิววัตถุดิบ และปริมาณลมไหลผ่านวัตถุดิบ
โดยวิธีการทำความเย็น Air Blast Freezer สามารถแบ่งย่อยได้ดังนี้
2.1 Tunnel Freezer
วัตถุดิบจะถูกเรียงใส่ถาด หรือรถเข็น โดยมีช่องว่างระหว่างวัตถุดิบเพื่อให้มีที่ว่างสำหรับอากาศไหลผ่าน ใช้เวลาการแช่แข็ง 4-6 ชั่วโมง
2.2 Belt Freezer
เหมาะสำหรับการแช่แข็งแบบแยกชิ้น (IQF : Individual Quick Freezing) โดยที่วัตถุดิบจะถูกลำเลียงด้วยสายพาน เหมาะกับวัตถุดิบที่ขนาดไม่ใหญ่มาก และใช้ระยะเวลาแข็งตัวไม่นาน หรือไม่เกิน 30 นาที เช่น การแช่แข็งอาหารทะเล ผัก ผลไม้ ฯลฯ 2 กรรมวิธีนี้ เหมาะสำหรับวัตถุดิบขนาดเล็กบาง มีอัตราการผลิตไม่มาก อาหารทะเล สินค้าเพิ่มมูลค่า
2.3 Fluidized Bed Freezer
คล้ายคลึงกับการแช่แข็งแบบ Belt Freezer แตกต่างตรงที่สายพานจะมีแรงสั่นสะเทือนตลอดเวลา ทำให้วัตถุดิบที่วางไม่ติดกับสายพาน วิธีนี้เหมาะกับวัตถุดิบที่มีขนาดเล็ก และน้ำหนักเบา และต้องมีการบรรจุหีบห่อให้เรียบร้อย มิเช่นนั้นอาจจะสูญเสียน้ำหนักในการผลิต เนื่องจากมีน้ำระเหยออกจากผลิตภัณฑ์ เหมาะสำหรับวัตถุที่มีน้ำหนักน้อย อัตราการผลิตสูง
3. การทำความเย็น Cryogenic Freezer
อาศัยสารที่มีจุดเดือดต่ำเป็นสารทำความเย็น เช่นไนโตรเจนเหลว คาร์บอนไดออกไซด์ เป็นการทำความเย็นคล้ายรูปแบบ Air Blast ชนิดสายพาน แต่ใช้การพ่นสารทำความเย็นเหลวสัมผัสกับสินค้าโดยตรงแทนการใช้ลมเย็นเป่า ทำให้ผิวด้านนอกของสินค้าแข็งตัวอย่างรวดเร็ว แต่ต้องควบคุมปริมาณการพ่นให้เหมาะสม เหมาะกับสินค้าที่มีอัตราการผลิต และมูลค่าสูง รวมถึงอัตราการสูญเสียน้ำสูง เป็นต้น
ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบห้องเย็น หรือระบบทำความเย็นประเภทใดก็ตาม ควรคำนึงถึงสิ่งต่างๆ ต่อไปนี้
• อุณหภูมิของสินค้า
• ระยะเวลาการจัดเก็บ
• อุณหภูมิของอากาศโดยรอบ
• การหมุนเวียนอากาศภายในห้อง
• ความชื้นตามข้อกำหนด
• การระบายอากาศ ความดัน
• ความเคลื่อนไหวของลม
• อุณหภูมิสินค้าที่ออกจากห้องเย็น
นอกเหนือจากนี้ การปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านสุขอนามัยและความปลอดภัยของอาหาร หรือผลิตภัณฑ์ รวมถึงให้ความสำคัญด้านพลังงานเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งห้องเย็นใหม่ สร้างห้องเย็น หรือปรับปรุงห้องเย็น ที่มีอยู่ ไปจนถึงพารามิเตอร์อื่นๆ ที่ต้องพิจารณาเช่น พื้นที่ ความสะดวกในการใช้ง่าย การเลือกสารทำความเย็น การติดตั้ง การบำรุงรักษา และงบประมาณค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างห้องเย็น ไปจนถึงระหว่างใช้งาน
𝗔𝗱𝘃𝗮𝗻𝗰𝗲 𝗖𝗼𝗹𝗱 𝗥𝗼𝗼𝗺 เรายินดีให้คำปรึกษา เกี่ยวกับระบบทำความเย็นที่เหมาะสมสำหรับห้องเย็นของคุณได้ รวมไปถึงการออกแบบโซลูชันที่มีประสิทธิภาพสำหรับความเย็น ตามความต้องการของคุณและธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนสร้างห้องเย็นใหม่ หรือปรับปรุงคุณภาพห้องเย็นที่มีอยู่
𝗔𝗖𝗥 𝗔𝗱𝘃𝗮𝗻𝗰𝗲 𝗖𝗼𝗹𝗱 𝗥𝗼𝗼𝗺 𝗹 𝗣𝗿𝗼𝗳𝗲𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻𝗮𝗹 𝗢𝗻𝗲 𝗦𝘁𝗼𝗽 𝗖𝗼𝗹𝗱 𝗥𝗼𝗼𝗺 ผู้เชี่ยวชาญด้านความเย็น และเป็นผู้นำด้านการสร้าง ผลิต ติดตั้ง ห้องเย็น Cold room, Cold Storage ทั้งในและต่างประเทศ แบบครบวงจร เราให้บริการห้องเย็นเชิงอุตสาหกรรมหลายประเภท รับคำปรึกษาเรื่องห้องเย็น และเทคโนโลยีความเย็นกับเราได้ที่
Line id : @advancecool
Email : info@advancecoldroom.com
Powered by Froala Editor